ปล่อยเงินกู้เพื่อการศึกษาให้ง่ายขึ้น - ตัวอย่างประเทศที่มีระบบปล่อยกู้เพื่อการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ
- ZENDAI PARTY
- Dec 10, 2024
- 1 min read
การพัฒนาระบบเงินกู้เพื่อการศึกษาในประเทศไทยจำเป็นต้องเรียนรู้จากประเทศที่มีแนวทางและโมเดลที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว บทเรียนจากต่างประเทศสะท้อนให้เห็นว่า หากรัฐออกแบบกลไกที่เอื้อต่อการเข้าถึง สนับสนุนให้มีการชำระหนี้อย่างยืดหยุ่น และไม่สร้างภาระทางการเงินเกินความจำเป็น จะสามารถยกระดับการศึกษาและพัฒนาแรงงานได้อย่างยั่งยืน
1. ออสเตรเลีย - HECS-HELP: ระบบเงินกู้ที่ผูกกับรายได้
ระบบ HECS-HELP ของออสเตรเลียถือเป็นต้นแบบสำคัญของระบบเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ไม่สร้างภาระเกินจำเป็นให้กับผู้เรียน โดยมีลักษณะเด่นดังนี้:
✅ ผู้กู้เริ่มชำระคืนเมื่อมีรายได้เกินเกณฑ์ที่กำหนด (ประมาณ 47,000 AUD ต่อปี)✅ การหักเงินชำระคืนจะดำเนินการผ่านระบบภาษีเงินได้โดยอัตโนมัติ✅ ไม่มีภาระดอกเบี้ยสะสมเหมือนเงินกู้ทั่วไป แต่มีการปรับค่าตามอัตราเงินเฟ้อ (CPI)✅ ผู้ที่ไม่มีรายได้ยังไม่ต้องชำระคืน ช่วยลดความเครียดหลังจบการศึกษา
ข้อดีที่ไทยควรนำมาใช้:
เชื่อมโยงภาระหนี้กับความสามารถในการจ่าย
ลดการเป็นหนี้เสีย และช่วยให้ผู้กู้มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตได้มั่นคง
2. เยอรมนี - BAföG: เงินช่วยเหลือแบบผสมผสาน
เยอรมนีมีระบบที่เรียกว่า BAföG (Bundesausbildungsförderungsgesetz) ซึ่งเป็นเงินสนับสนุนการศึกษาที่ประกอบด้วยสองส่วน:
✅ ครึ่งหนึ่งเป็นเงินช่วยเหลือที่ไม่ต้องชำระคืน✅ อีกครึ่งเป็นเงินกู้แบบปลอดดอกเบี้ย และจำกัดยอดชำระคืนสูงสุดไม่เกิน 10,000 ยูโร✅ การเริ่มชำระคืนสามารถเลื่อนออกไปได้หากผู้กู้ยังไม่มีรายได้ที่มั่นคง
ข้อดีที่ไทยควรนำมาใช้:
โครงสร้างที่ไม่สร้างหนี้มากเกินไปแก่ผู้เรียน
ความยืดหยุ่นในการชำระคืน และจำกัดหนี้ไม่ให้ล้นเกินจากรายได้
3. สวีเดน - CSN: ระบบที่ครอบคลุมทั้งค่าเรียนและค่าครองชีพ
ระบบเงินกู้เพื่อการศึกษาของสวีเดนบริหารโดย CSN (Centrala Studiestödsnämnden) มีจุดแข็งหลายประการ:
✅ ให้กู้ทั้งค่าเรียนและค่าครองชีพ พร้อมกัน✅ ดอกเบี้ยต่ำมาก (ประมาณ 0.05 - 0.1% ต่อปี)✅ ระยะเวลาผ่อนชำระนานถึง 25 ปี และมีความยืดหยุ่นสูง✅ มีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาทางการเงิน เช่น ลดค่างวดหรือพักชำระบางช่วงเวลาได้
ข้อดีที่ไทยควรนำมาใช้:
การสนับสนุนทั้งค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพ ทำให้ผู้เรียนมีสมาธิกับการศึกษาเต็มที่
ลดแรงกดดันทางเศรษฐกิจในช่วงเรียน และหลังเรียนจบ
4. สิงคโปร์ - ระบบการกู้แบบผูกพันสถาบัน
สิงคโปร์มีระบบที่ให้นักศึกษากู้จากธนาคารพาณิชย์ที่จับมือกับรัฐบาล โดย:
✅ รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันส่วนหนึ่งของเงินกู้✅ นักศึกษาสามารถเลือกผ่อนจ่ายภายหลังเรียนจบ หรือให้พ่อแม่/ผู้ปกครองผ่อนให้ระหว่างเรียน✅ สามารถใช้ระบบบำเหน็จบำนาญ (CPF) ของพ่อแม่ในการชำระหนี้ได้
ข้อดีที่ไทยควรนำมาใช้:
เปิดโอกาสให้มีความหลากหลายของรูปแบบการกู้
ดึงสถาบันการเงินและกลไกภาครัฐมาทำงานร่วมกัน
5. สหรัฐอเมริกา - บทเรียนจากระบบที่ต้องระวัง
แม้สหรัฐฯ จะมีระบบเงินกู้เพื่อการศึกษาที่หลากหลาย แต่ก็เผชิญกับปัญหาหนี้การศึกษาสูงถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งกลายเป็นภาระของทั้งประเทศ ตัวอย่างเช่น:
❌ นักศึกษาจำนวนมากมีภาระหนี้ตั้งแต่ 20,000 - 100,000 ดอลลาร์❌ ระบบดอกเบี้ยสูง ทำให้หนี้พอกพูนแม้ผู้กู้จะชำระเงินเป็นประจำ❌ ขาดระบบผูกพันกับรายได้จริงหลังเรียนจบ
บทเรียนที่ไทยควรหลีกเลี่ยง:
อย่าให้ระบบเงินกู้กลายเป็นเครื่องมือผลักคนจนให้จนหนักขึ้น
ควรออกแบบให้สมดุลระหว่างสิทธิของผู้เรียนและเสถียรภาพการคลัง
บทสรุป
ระบบเงินกู้เพื่อการศึกษาของไทยควรเรียนรู้จากโมเดลของต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น ความเป็นธรรม และความยั่งยืน ทั้งในด้านอัตราดอกเบี้ย การชำระหนี้ และการเปิดโอกาสเข้าถึงอย่างทั่วถึง หากรัฐสามารถออกแบบระบบที่ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาผ่านกลไกตลาดและเงินทุนแบบเสรี มั่นใจได้ว่าเราจะได้แรงงานที่มีคุณภาพ พร้อมแข่งขันในตลาดโลกโดยไม่ต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยภาระหนี้
📢 สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของพรรคเส้นด้ายนี้ ได้รับการอุดหนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองผู้ว่าจ้าง: พรรคเส้นด้าย เลขที่ 226/1 ถนนเพชรเกษม แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600ผู้ผลิต: บจก.ฟรีมาร์เก็ตเทียร์ เลขที่ 74/6 ถนนพระราม 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กทม 10400จำนวนที่ผลิต: 1 โพสต์งบประมาณ: 3,000 บาทผลิตตามวันและเวลาที่ปรากฏ
Yorumlar